แนะนำผับสไตล์เยอรมันชั้นยอดในกรุงโตเกียว

สำหรับคนที่เคยไปประเทศเยอรมนีมาแล้วจะรู้ว่าประเทศนี้ขึ้นชื่อเรื่องเบียร์สดและผับดี ๆ วันนี้เราจะขอแนะนำผับสไตล์เยอรมันที่ดีที่สุดที่เราเคยไปมา ที่นี่มีเบียร์สดชั้นเยี่ยม มีอาหารที่อุดมด้วยไขมันแสนอร่อย มีกลิ่นของเบียร์คละคลุ้งในอากาศ มีภาพตกแต่งผนังสวยงามที่เป็นภาพของครอบครัวชาวบาวาเรียนตั้งแต่ช่วงยุค 1930’s และเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่น

เอาละ ผับที่เรากำลังพูดถึงนี้อยู่ในกรุงโตเกียว ในใจกลางย่านกินซ่า (Ginza) หาที่พักย่านกินซ่าแล้วมุ่งหน้าไปที่ร้านซัปโปโร ไลอ้อน เบียร์ ฮอลล์ (Sapporo Lion Beer Hall) กันได้เลย ที่นี่เป็นโรงเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวและตั้งอยู่ในแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮ-เอนด์ในย่านกินซ่า เมื่อย่างกรายเข้าไปในผับแห่งนี้คุณจะรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในแดนสนธยา เพราะมันทั้งดูเป็นเยอรมันและมีกลิ่นแบบเยอรมันแต่ขอโทษเถอะ…ไม่มีชาวเยอรมันสักคน

ร้านนี้มีคนเต็มตลอดช่วงวันทำงานและจะยิ่งฮ็อตฮิตมากขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ คุณอาจต้องรอประมาณ 15 นาทีจึงจะได้โต๊ะนั่ง การสั่งเบียร์นั้นก็ง่ายมากถึงแม้ว่าคุณจะรู้ภาษาญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อยก็ตาม แค่สั่ง “ซัปโปโร ดราฟท์” [Sapporo draught] (โรงเบียร์แห่งนี้มีแบรนด์ดังกล่าวเป็นสปอนเซอร์) กับ “คัทซึด้ง” (ข้าวหน้าหมูทอด) ก็โอเคแล้ว

ผู้คนในร้านจะส่งเสียงดัง และเบียร์ก็จะมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ ส่วนอาหารก็จะเป็นประเภทอุดมด้วยไขมันและทุกคนก็อยู่ในอารมณ์สนุกสนาน หน้าแดงก่ำ เพราะมนุษย์เงินเดือนชาวญี่ปุ่นเหล่านี้ต่างมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อผ่อนคลายหลังเลิกงานซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะสวมชุดสูทมา มีบางกลุ่มซึ่งเห็นไม่บ่อยนักที่พาเด็ก ๆ มาด้วย และ 75% ของคนเหล่านี้จะสูบบุหรี่ถึงแม้ว่าภายในร้านจะไม่ได้มีควันโขมงมากมายอะไร

หลังจากดื่มไปสักสอง-สามไพนท์คุณก็จะจัดการกับหมูในจานหมดและจะมีการแสดงให้ดู นั่นก็คือ ผู้ชายสองคนในชุดกางเกงหนังขาสั้นมีสายเอี๊ยมที่เรียกว่า lederhosen และผู้หญิงสามคนในชุดประจำชาติของชาวบาวาเรียนเยื้องกรายออกมาจากหลังผับ มีแอคคอร์เดียนกับกระดิ่งติดมือมาด้วย แน่นอนละว่าพนักงานชาวญี่ปุ่นห้าคนนี้พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย แล้วพวกเขาก็จะเริ่มบรรเลงเพลงบาวาเรียนสุดคลาสสิกที่ใช้สำหรับเวลาดื่มสังสรรค์และไม่นานคนทั้งร้านก็จะร้องเพลงไปกับพวกเขาด้วย

คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเป็นเพราะเบียร์ ผงชูรส หรือการเป็นผู้สูบบุหรี่มือสองกันแน่ที่จะทำให้คุณโห่ร้อง หัวเราะ และร้องเพลงตามพวกเขาในไม่ช้า แล้วนักแสดงเหล่านี้ก็จะหายตัวไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่พวกเขาปรากฏตัว หลังจากร้องไปสามเพลง และผับแห่งนี้ก็จะเหลือเพียงแต่เสียงพูดคุยเหมือนเมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้ คุณอาจไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริง ๆ และในวันรุ่งขึ้นคุณอาจจะต้องถามคู่หูของคุณซ้ำเพื่อความมั่นใจซึ่งเพื่อนของคุณก็อาจไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่ามันสนุกมาก

หมายเหตุเกี่ยวกับเบียร์: อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าถึงแม้บางคนจะได้ไปเที่ยวเยอรมนีมาแล้วและได้ลองชิมเบียร์ที่โด่งดังของที่นั่นมาจนหมด แต่เราขอบอกอีกครั้งว่าเบียร์ที่ดีที่สุดในโลกนั้นผลิตในญี่ปุ่น นั่นคือเบียร์ “อาซาฮี ดราฟท์” นั่นเอง ลองดูสิ มันยอดเยี่ยมมาก ดื่มแล้วสดชื่น และรสที่กรุ่นอยู่ในปากนั้นแสนจะนุ่มนวลซึ่งจะไม่ทำให้คุณทำหน้าเหยเกแต่อาจทำให้คุณเผลอร้องเพลงพื้นบ้านของชาวบาวาเรียนออกมาแทน

สิ่งที่ควรและไม่ควรทำที่ร้านติ่มซำในฮ่องกง

คุณคงไม่สามารถทานอาหารกลางวันอย่างเป็นสุขได้ในฮ่องกง โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในร้านติ่มซำซึ่งมักจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนล้นหลาม ไม่มีกาน้ำชากระเบื้องเคลือบอย่างดี ไม่มีสุดยอดบริการ และไม่มี เพลงแนว Bossa Nova เปิดคลอให้ได้ยินทั่วทุกมุมของร้าน

แต่เดี๋ยวก่อน…นั่นแหละคือความสนุกของวัฒนธรรมติ่มซำในฮ่องกงและคุณจะไม่พบเจอความวุ่นวายแบบนั้นจากที่อื่นบนโลกใบนี้อีก จริงอยู่ที่ร้านติ่มซำนั้นมีอยู่ทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภัตตาคารอาหารจีนหรูหราที่เสิร์ฟพุดดิ้งเต้าหู้มาในถ้วยแก้วรูปทรงน่ารักพร้อมฝาปิด

ดังนั้น เพื่อที่จะเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมติ่มซำอย่างเต็มที่ การสั่งอาหารได้ถูกต้องนั้นยังไม่พอ แต่ต้องนำวิธีที่คนท้องถิ่นปฏิบัติมาใช้ด้วย และนี่คือข้อแนะนำถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำที่สามารถเพิ่มประสบการณ์ในการลิ้มรสติ่มซำของคุณให้ลึกซึ้งมากขึ้น

ควรทำ: ซ้อนเข่งติ่มซำขึ้นไปเป็นชั้น ๆ  เมื่อคุณสั่งติ่มซำ อย่าวางเข่งให้กระจัดกระจายบนโต๊ะ แต่ให้ซ้อนขึ้นไปจนกระทั่งมันเริ่มขวางกั้นคุณและคนที่คุณนั่งทานอาหารด้วย ลองนึกถึงวิธีที่พวกแก๊งมาเฟียในหนังฮ่องกงกินอาหารกันดูสิ นั่นก็คือพวกเขาจะนั่งตรงข้ามกันโดยมีกองเข่งติ่มซำหลายกองอยู่ข้างหน้า  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ

ควรทำ: เอ่ยชมรสชาติอาหารและทำเสียงประกอบด้วย ตอบสนองกับอาหารของคุณและชื่นชมแต่ละจานอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยประโยคอย่างเช่น: “เอ้า กินๆ ! นี่มันโคตรสดเลย!” , “อื้ม” , “อร่อย!”, “ว้าว!” และอื่น ๆ อีกมากมาย คุณจะครีเอทคำชมของคุณขึ้นมาเองก็ได้ แต่ให้ใช้ถ้อยคำเชิงบวกเท่านั้น

ไม่ควรทำ: กินเงียบๆ .. คุณควรพูดและหัวเราะเสียงดัง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของร้านแล้วคร่ำครวญว่า “ทำไมพวกนั้นเสียงดังจัง ไม่รู้รึไงว่าเรากำลังอร่อยกับอาหารอยู่” อย่าลืม นี่มันฮ่องกงนะ! ถ้าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ก็ผสมโรงด้วยซะเลย! ถ้าได้ยินเรื่องตลกก็ให้หัวเราะออกมาดังๆ  หรือถ้าคุณสั่งซี่โครงหมูมาละก็ ดูดน้ำที่ฉ่ำอยู่ในเนื้อหมูให้เหมือนกับแวมไพร์ ขณะที่คุยกันอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องกระซิบกระซาบหรือบ่นพึมพำ พูดเสียงดังปกติได้เลย แล้วก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกถ้าคุณจะเคาะตะเกียบกับจานอาหารให้เป็นทำนองเพลง เพราะทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการกินติ่มซำแสนอร่อย

ไม่ควรทำ: ลดความอ้วน .. แต่จงสั่งอาหารมาเยอะๆ มันค่อนข้างน่าอายถ้าคุณนั่งโต๊ะใหญ่แต่สั่งอาหารมาแค่สองเข่งเล็กๆ ที่บอกว่าให้สั่งเยอะๆ นั้นหมายถึง ขนมผักกาด 2 เข่ง ปอเปี๊ยะ 3 ชิ้น เผือกสอดไส้ 1 เข่ง ข้าวต้ม 4 ถ้วย ทาร์ตไข่ 5 ชิ้น และซาลาเปาไส้หมูแดง 3 ลูก กินให้หมดโดยเร็วเพราะนี่เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น

ควรทำ: สั่งทีละนิดละหน่อย อย่าสั่งทุกอย่างในครั้งเดียว และขณะที่คุณกำลังง่วนกับการกินและการคุยอยู่นั้นก็ให้เรียกพนักงานมาสั่งอาหารเพิ่มทีละจานสองจาน (และอีกจาน และอีกจาน ไปเรื่อยๆ)

ไม่ควรทำ: ลังเล .. คุณต้องรวดเร็ว ชาวฮ่องกงมีประสิทธิภาพมากดังนั้นจะไม่มีเวลาให้คุณนั่งอ่านเมนู นั่งนึกว่าจะสั่งอะไรดี นั่งลังเลและสั่งใหม่ ในฮ่องกงทุกอย่างมีแต่ความรวดเร็วเพราะมีลูกค้าอีกเพียบรอต่อคิวโต๊ะที่คุณนั่งอยู่ จงกินอย่างกระฉับกระเฉงและเคี้ยวอาหารสอง-สามอย่างในเวลาเดียวกัน ขอให้เจริญอาหารนะ!

ช็อปปิ้งที่ตลาดจตุจักรในช่วงสุดสัปดาห์

ช็อปปิ้งที่ตลาดจตุจักรในช่วงสุดสัปดาห์

ตลาดนัดจตุจักรในกรุงเทพฯ ที่เปิดทุกเสาร์-อาทิตย์คงไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินช็อปปิ้งสบายๆ ในห้าง ด้วยจำนวนผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าถึง 200,000 คนต่อวัน แม้ตลาดแห่งนี้จะมีพื้นที่กว่า 70 ไร่ก็ยังไม่สามารถรองรับฝูงชนได้ ดังนั้น ก็เตรียมตัวได้เลยว่าคุณจะต้องเสียเวลาเบียดเสียดบรรดานักช็อปในทางเดินแคบๆ กันทั้งวัน แต่นี่ล่ะคือสีสันของตลาดแห่งนี้

ความเป็นมาของจตุจักร

ย้อนกลับไปในช่วงพ.ศ. 2491 เมื่อจอมพลป. พิบูลสงครามซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นมีนโยบายให้ทุกเมืองในประเทศมีตลาดประจำเมือง หลังจากย้ายสถานที่ไปมา สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ตลาดนัดประจำกรุงเทพมหานครอยู่ตรงตำแหน่งในปัจจุบันบนถนนพหลโยธิน

ตั้งแต่นั้นมา ตลาดนัดจตุจักร (หรือที่เรียกกันติดปากว่าเจเจ) ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในตลาดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปกติ ตลาดจะเปิดขายกันอย่างคึกคักในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ก็มีบางร้านที่เปิดตลอดทั้งสัปดาห์

การเดินเลือกซื้อของที่จตุจักร

พูดได้เลยว่าคุณสามารถหาซื้อของได้ทุกประเภทที่ตลาดนัดจตุจักร ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน จานชาม หนังสือ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ของโบราณ ตุ๊กตา งานศิลปะ และอื่นๆ มีทุกอย่างที่นี่ อย่างไรก็ตาม คุณอาจต้องเสียเวลาทั้งวันที่จตุจักร (มีร้านค้าประมาณ 10,000 ร้าน) แถมยังไม่ได้ของที่ต้องการเลยสักชิ้น ดังนั้น นักช็อปทั้งหลายจึงควรวางแผนมาก่อนล่วงหน้า

สิ่งแรกที่คุณควรรู้ไว้เกี่ยวกับตลาดแห่งนี้คือ คุณอาจเสียเวลาไปกับการเดินวนเวียนหลงทางหรือต้องเดินตากแดดทั้งวัน ดังนั้น จึงควรหาซื้อน้ำดื่มบ่อยๆ และคอยมองหาที่บังแดดเพื่อจะได้เดินเลือกซื้อของกันในที่ร่ม

อย่าลืมหยิบแผนที่ซึ่งมีให้ตรงจุดบริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ตรงทางเข้าฝั่งขวามือ เมื่อคุณเริ่มจะหลงทาง ให้เลือกเดินไปทางทิศใดทิศหนึ่ง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินหลงวนกลับมาที่เดิม

และที่สำคัญคืออย่าลืมต่อราคาเป็นอันขาด โดยเฉพาะหากคุณเป็นชาวต่างชาติ คนขายที่เป็นคนไทยจะคิดว่าคุณต้องต่อราคาอยู่แล้ว ดังนั้น จึงบอกราคาคุณแพงเกินจริงเป็นสองเท่า แต่บางครั้ง ราคาสินค้าบางอย่างก็จะตายตัว ซึ่งจะมีการติดป้ายราคาเอาไว้อย่างดี หรือไม่ก็มีการโฆษณาให้ทราบโดยทั่วกัน ในกรณีนี้จะไม่สามารถต่อราคาได้

เมื่อเดินช็อปกันจนปวดเท้าและท้องเริ่มร้องแล้ว ให้ตรงไปยังถนนใหญ่ใกล้กับทางออก ซึ่งจะเต็มไปด้วยร้านอาหารข้างทาง (ผัดไทยราคา 40 บาท) และบริการนวด (นวดฝ่าเท้าราคา 250 บาทต่อชั่วโมง) นอกจากนี้ ยังมีไอศกรีมกะทิที่ทั้งอร่อยและให้ความสดชื่น (ซื้อได้จากรถเข็นไอติม) ในราคาเพียง 20 บาท หยุดพักเติมพลังสักครู่ เพื่อจะได้เดินช็อปกันต่อ หลังจากช็อปปิ้งจนเต็มอิ่มแล้ว คุณก็สามารถเดินไปยังสวนจตุจักรและนั่งพักผ่อนสบายๆ บนสนามหญ้าก่อนกลับบ้าน

ร้านแนะนำ

  • So Beautiful – สมุดโน้ต กรอบรูป และนาฬิกาสไตล์เก๋ๆ คุณภาพดีในราคาไม่แพง สมุดโน้ตเล่มเล็กราคา 80 บาท เล่มใหญ่ 120 บาท กรอบรูป 190 บาท โครงการ 13 เลขที่ 16 ซอย 11/1
  • RST Shop – สมุนไพรและเครื่องเทศจากธรรมชาติ มีชาผลไม้อบแห้งที่ทั้งอร่อยและน่าทาน ชาชะเอมเทศราคา 60 บาท ชามะตูมแห้ง 60 บาท เครื่องแกงถุงละ 60 บาท โครงการ 25 เลขที่ 192 ซอย 3/1
  • Time + – ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นอินเทรนด์ที่เต็มไปด้วยสีสัน โครงการ 26 เลขที่ 307 ซอย 1 (เยื้องร้านนี้ไปเป็นร้านขายของโบราณที่มีของสวยๆ ให้เลือกมากมาย)

การเดินทางไปจตุจักร

เส้นทางไปตลาดนัดจตุจักรนั้นง่ายมาก เดินจากรถไฟฟ้า BTS สถานีปลายทางหมอชิตเพียง 5 นาทีก็จะถึงตลาดนัดจตุจักร หรือคุณสามารถนั่งรถไฟใต้ดิน MRT ไปได้เช่นกัน โดยลงที่สถานีกำแพงเพชร หากนั่งแท็กซี่ ให้บอกคนขับว่าไปสวนจตุจักร ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีคนขับคนไหนที่ไม่รู้จัก

แนะนำคลับน่าเที่ยวในเพิร์ธ

เพิร์ธเป็นเมืองหลวงของรัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย โดยเป็นหนึ่งในเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่โดดเดี่ยวห่างจากเมืองอื่นๆ แต่ช่วงหลังๆ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตั๋วเครื่องบินจากเอเชียมีราคาถูก แม้ว่าจะไม่โด่งดังเท่าซิดนีย์หรือเมลเบิร์น แต่เพิร์ธก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองของนักดื่มและชาวปาร์ตี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ ซึ่งคนท้องถิ่นขนานนามว่า “ซันเดย์ เซสชั่น” นับเป็นช่วงเวลาชาวเพิร์ธนิยมออกมาดริงค์กันเป็นประจำ

แหล่งสถานบันเทิงหลักของเพิร์ธตั้งอยู่ในย่านนอร์ธบริดจ์ โดยมีร้าน Metro City Concert Club (146 Roe St., Northbridge) เป็นคลับที่ใหญ่ที่สุดและมักจะมีโชว์จากนานาชาติแวะเวียนมาจัดแสดงอยู่เรื่อยๆ คลับชั้นนำแห่งนี้ประกอบไปด้วยบาร์ 5 แห่ง ซึ่งสามารถมองเห็นฟลอร์เต้นรำที่นักเต้นประจำคลับและลูกค้าหลายร้อยคนออกมายักย้ายส่ายสะโพกกันอย่างเมามันส์ นอกจากนี้ คืนวันเสาร์ยังมีดีเจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเปิดเพลงแนวอาร์แอนด์บีและแนวเฮ้าส์ให้ได้รับฟังกัน

อีกหนึ่งสถานที่ซึ่งใหญ่โตและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ ร้าน Hip-E Club (663 Newcastle Street, Leederville) ซึ่งเพิ่งจะฉลองครบรอบ 20 ปีไปเมื่อไม่นาน ถึงแม้จะไม่ได้เหริดหรูอลังการ แต่คลับแห่งนี้ก็อัดแน่นไปด้วยความสนุกสนาน พร้อมแดนซ์ฟลอร์ที่ตกแต่งด้วยบูธดีเจที่สร้างขึ้นจากรถแวนโฟล์คสวาเก้น คอมบิ รวมถึงมีดนตรีหลากหลายยุคสมัย ไล่มาตั้งแต่ยุค 70 80 90 ไปจนถึงยุค 2000 สำหรับผู้ฟังทุกรสนิยม ภายในคลับตกแต่งอย่างมีสีสันด้วยแสงไฟละลานตา ขณะที่ด้านนอกก็มีบริเวณกลางแจ้งสไตล์ทรอปิคัลที่มาพร้อมกับบาร์และร่มขนาดยักษ์

แต่หากคุณต้องการสถานที่แบบเก๋ไก๋ ก็ต้องไปลองที่ Geisha Bar (135a James st., Northbridge) ซึ่งเล่นเพลงอันเดอร์กราวน์ พร้อมทั้งมีการตกแต่งที่ผสมผสานศิลปะญี่ปุ่น ศิลปินป๊อปร่วมสมัย และที่นั่งสไตล์รถบัสเข้าไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นความสุนทรีย์แห่งการผ่อนคลายอย่างหรูหรา อย่างไรก็ตาม เตือนไว้อย่างหนึ่งว่าลูกค้าของที่นี่เป็นพวกไฮโซหน้าตาดีที่ชอบเดินเริดเชิดหยิ่งโชว์ออฟไปมา แถมบางทีคุณอาจจะไม่ได้เข้าไปนั่งในคลับด้วยซ้ำหากแต่งตัวไม่เข้ากับบรรยากาศของร้าน โดยที่นี่ยึดถือคติว่า “จะแต่งตัวสวยหรือแต่งตัวห่วยยังไงก็ได้…ขออย่างเดียวว่าให้โดน” Geisha เปิดให้บริการวันศุกร์และวันเสาร์ ตั้งแต่ 5 ทุ่มจนถึง 6 โมงเช้า

การท่องเที่ยวแบบอาสาสมัครในเชียงใหม่

การท่องเที่ยวแบบอาสาสมัครในเชียงใหม่

การท่องเที่ยวไทยในยุคนี้สมควรจะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์ด้านการตลาด เนื่องจากได้ทำให้การท่องเที่ยวแบบธรรมดากลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว สมัยก่อนนั้น กว่าที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะตัดสินใจเอาเงินเก็บไปเที่ยวนั้น ต้องคิดหนักทีเดียว แต่ทุกวันนี้ กลายเป็นว่าใครๆ ก็อยากทำงานเก็บเงินไปเที่ยวแม่สายกันทั้งนั้น

การท่องเที่ยวไม่ว่าจะเชิงอนุรักษ์ เชิงเกษตร หรือแบบอาสาสมัคร ต่างมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้ชาวต่างชาติได้เห็นมิติใหม่สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศไทย ในขณะที่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติได้รับความสนใจมากมายจากหลายโรงแรมในเชียงใหม่ แต่การท่องเที่ยวแบบอาสาสมัครนั้นมักถูกมองข้าม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะการได้อาสามาช่วยเหลือบำเพ็ญประโยชน์ให้ผู้คนในชุมชน ถือเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังจะได้ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของคนในชนบทได้อย่างที่แท้จริง แบบที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

มีนักเดินทางอิสระหลายกลุ่มที่จัดกิจกรรมอาสาของตัวเอง แต่สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปโดยเฉพาะชาวต่างชาติ การไปหากิจกรรมทำเองคงจะเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่ไม่น้อย ดังนั้น จึงมีตัวแทนรับจัดกิจกรรมอาสาสมัครในช่วงสั้นๆ ขึ้นมาโดยมีค่าใช้จ่าย แม้การช่วยเหลือด้วยกำลังทรัพย์แบบนี้จะฟังดูล้าสมัยไปหน่อย แต่บริษัทตัวแทนเหล่านี้ก็คิดหาโครงการดีๆ ที่จะช่วยให้การอาสาสมัครของนักท่องเที่ยวเกิดประโยชน์สูงสุดได้

ปัจจุบัน เชียงใหม่เต็มไปด้วยโครงการอาสาสมัครมากมาย โดยมีตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจดังนี้:

การเป็นอาสาสมัครในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

บ้านเด็กเวียงพิงค์ เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเชียงใหม่ที่ดำเนินการโดยภาครัฐ ตั้งอยู่ใกล้กับศาลาว่าการจังหวัด ที่นี่ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อยากจะมาเล่นกับเด็กๆ หลังเลิกเรียน เด็กเหล่านี้มาจากพื้นเพต่างๆ กัน บางคนเป็นเด็กกำพร้าจริงๆ แต่บางคนก็เป็นเด็กที่ถูกทิ้งหรือถูกล่วงละเมิด บ้านเด็กเวียงพิงค์แห่งนี้มีขนาดใหญ่และมีพื้นที่ใช้สอยพอสมควร อาจจะดูเหงาๆ ไปบ้าง แต่เด็กๆ ที่นี่ก็มีความสุขดีกับการได้มีโอกาสพบปะผู้คนจากที่ห่างไกล

นอกจากบ้านเด็กกำพร้าขนาดใหญ่อย่างเวียงพิงค์แล้ว ก็ยังมีสถานสงเคราะห์เล็กๆ แห่งอื่นที่บริหารงานโดยเอกชน ซึ่งยังคงต้องการความช่วยเหลืออีกมาก แม้บางแห่งอาจยังลังเลอยู่บ้างในการอ้าแขนต้อนรับอาสาสมัครที่จะเข้ามาในชีวิตของเด็กๆ แล้วก็ต้องจากไปในแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มชาวคริสต์ และดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการอาสาสมัครที่เต็มใจจะเข้ามาช่วยในระยะยาวมากขึ้น อาจจะเป็นช่วง 6 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น สองโครงการที่น่าสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ บ้านอากาเป้ (Agape Home) สำหรับเด็กที่ติดเชื้อ HIV หรือเอดส์ และบ้านดอกไม้ป่า (Wildflower Home) ซึ่งเป็นที่พักพิงสำหรับแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง หรือผู้หญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม

สอนภาษาอังกฤษในวัด

เมื่อจองที่พักในเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเลือกห้องไหนก็มักจะต้องมีวิวที่มองเห็นวัดได้ เมืองเชียงใหม่นี้มีโรงเรียนวัดจำนวนมาก เด็กผู้ชายจากชนบทหรือจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนจะพากันมาเรียนฟรีที่นี่ เด็กที่มาเรียนมักจะบวชเป็นสามเณร ห่มจีวร โกนผม แต่ส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบแล้ว ก็จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม ภาษาอังกฤษก็เป็นอีกวิชาหนึ่งที่เรียนกันที่นี่ และทางผู้บริหารของโรงเรียน (ซึ่งก็เป็นพระเช่นกัน) ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมีชาวต่างชาติมาช่วยสอนทักษะการพูดและการฟังภาษาอังกฤษ

นอกจากจะได้มาเก็บภาพความประทับใจแล้ว การได้มาสอนภาษาอังกฤษในวัดยังทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับอีกแง่มุมหนึ่งของวัดที่พวกเขาไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสมาก่อน กิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่การทำวัตรเช้าไปจนถึงช่วงฉันเพล ล้วนมอบประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ลองมาสัมผัสดู แล้วจะรู้ว่าการได้มากินข้าวแกงแบบไทยๆ ดีกว่ากินฟาสต์ฟู้ดเป็นไหนๆ

อาบน้ำให้ช้าง

นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอาจไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้พาช้างไปอาบน้ำในแม่น้ำ

ช้างที่เชียงใหม่มีปัญหาเรื่องไม่มีงานทำ ในสมัยก่อน ช้างมีหน้าที่ลากซุงไปยังแม่น้ำเพื่อทำสะพาน แต่ตอนนี้ใครๆ ก็ใช้เครื่องจักรกันหมดแล้ว แถมอุทยานแห่งชาติทั้งหลายก็มีส่วนทำให้ช้างสูญเสียการดำรงชีวิตแบบเดิมของมันไป ศูนย์อนุรักษ์ช้างได้ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยเพื่อให้ช้างมีกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป (ไม่ได้ล้อเล่นนะ) การเตะฟุตบอล หรือการอาบน้ำซึ่งอาจจะอาบบ่อยกว่าคนเสียอีก

ช้างต้องหาเลี้ยงตัวเองโดยการแสดงโชว์ให้นักท่องเที่ยวชม การให้ขี่หลัง และการให้อาสาสมัครได้มีโอกาสทำงานร่วมกับมัน แม้ทุกอย่างจะเป็นธุรกิจ แต่บรรดาช้างเหล่านี้ก็ทำหน้าที่ได้ดี สำหรับองค์กรเรื่องช้างที่เชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นได้แก่ Elephantnaturepark.org ซึ่งมีโครงการรับสมัครอาสาสมัครในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลทั่วไป สัตวแพทย์ และสัตวแพทย์ฝึกหัด

ฝึกงานอย่างมืออาชีพ

สถาบันและกลุ่ม NGO หลายแห่งในเชียงใหม่กำลังเปิดรับให้นักศึกษาจากต่างชาติเข้ามาฝึกงาน แต่มักไม่มีค่าตอบแทนให้ แถมงานส่วนใหญ่ที่ดำเนินการผ่านบริษัทตัวแทนในท้องถิ่นยังต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกด้วย การที่ต้องเดินทางมาไกลแถมยังต้องจ่ายเงินเพื่อให้บริษัทจ้างตัวเองอีกนั้นทำให้นักศึกษาต่างชาติหลายคนถอดใจ แต่รับรองได้ว่าถ้าได้ลองมาทำแล้ว ประวัติในใบสมัครงานจะต้องออกมาดูดีแน่นอน

สำหรับสาขาที่เปิดรับมากที่สุดในเชียงใหม่ก็คือนักศึกษาเตรียมแพทย์ โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งในตัวเมืองมีการเปิดรับนักศึกษาฝึกงานจากต่างชาติเข้ามา โดยให้จับคู่ทำงานร่วมกับแพทย์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ นักศึกษาแต่ละคนจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด พวกเขาจะได้มีโอกาสเดินดูอาการผู้ป่วย เป็นผู้ช่วยแพทย์ และสังเกตขั้นตอนการรักษา

นักศึกษาที่ผ่านการรับรองแล้วจะได้รับผิดชอบหน้าที่ในระดับสูงขึ้น แต่เกณฑ์ของที่นี่นั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโครงการนักศึกษาฝึกงานในเมืองนอก เรื่องนี้อาจทั้งน่าตื่นเต้นหรืออาจจะน่ากลัวหน่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่านักศึกษาเหล่านั้นได้รับผิดชอบหน้าที่ด้านไหน แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม ทุกอย่างก็จะต้องอยู่ในความดูแลที่เข้มงวดของแพทย์

โครงการนักศึกษาแพทย์ฝึกงานที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือนั้น ได้แก่ Friends for Asia โดยมีผู้ก่อตั้งคือหน่วยอาสาสมัครเพื่อสันติภาพของอเมริกา (Peace Corps veteran) ซึ่งถือเป็นกลุ่มอาสาสมัครหลักๆ ในเชียงใหม่

มะละกา สวรรค์ของนักกิน

มะละกาจะทำให้ทุกประสาทสัมผัสของคุณเพลิดเพลิน แต่แม่เหล็กดึงดูดหลักที่คุณจะพบเห็นได้ตั้งแต่บริเวณท่าเรือเก่าสำหรับขนถ่ายเครื่องเทศตลอดเรื่อยไปตามถนนที่มาจากกัวลาลัมเปอร์ก็คืออาหาร มะละกามีชื่อเสียงในเรื่องอาหารอร่อย ราคาไม่แพงแถมมีคุณภาพดี

ร้านอาหาร 5 แห่งต่อไปนี้ล้วนสะท้อนถึงความร่ำรวยทางวัฒนธรรมของมะละกาที่ปรากฏอยู่รอบ ๆ หรืออยู่ในย่านไชน่าทาวน์ แต่ถ้าคุณจะไปร้านอาหารเหล่านี้เราอยากให้คุณเผื่อใจสำหรับการจราจรที่ติดขัดเอาไว้ด้วย

Sri Kaveri, Lorong Hang Jebat
ร้านนี้ตั้งชื่อตามแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย และถึงแม้ว่าจะไม่มีไกด์บุ๊คแนะนำแต่เราจะแนะนำเอง เพราะจ่ายเพียงแค่ไม่กี่ริงกิตคุณก็จะได้อาหารมาเต็มโต๊ะอย่างกับจัดงานเลี้ยงเพื่อถวายให้พระแม่คงคาอย่างไรอย่างนั้น อาหารก็จะเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารชุดที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน ส่วนที่ตั้งของร้าน Sri Kaveri นี้ก็อยู่ใกล้กับ the Honky Tonk Haven Café บนถนนที่ตัดผ่านแม่น้ำ ห่างออกไปจาก Jonker Walk ถ้าหาไม่เจอก็ให้มองหาประตูทางเข้าที่ตกแต่งด้วยพวงมาลัยสีสันสดใสก็แล้วกัน

Pak Putra Tandoori & Naan Restaurant, Jalan Laksmana 4
ไม่ว่าใครที่ได้มาชิมอาหารที่ร้าน Pak Putra ก็ต้องติดออกติดใจไปตามๆ กันเพราะมีบรรยากาศรื่นเริงเหมาะกับการพบปะสังสรรค์ในคืนที่อากาศแสนสบาย เมนูแนะนำก็คือ น้ำมะม่วงปั่นผสมโยเกิร์ต (lassi) ที่เข้มข้น และเนื้อสัตว์หลายชนิดรวมทั้งอาหารทะเลรสจัด ร้าน Pak Putra นี้อยู่ในซอยเล็ก ๆ ห่างออกมาจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม Jonker Walk ตามทางที่มุ่งหน้าไปทะเล

Limau Limau Cafe, Jonker Street
โคมระย้า เพลงละตินแจ๊ส และภาพถ่ายสุดอาร์ตทำให้ร้าน Limau Limau มีบรรยากาศเหมือนเมืองเมลเบิร์นของแดนจิงโจ้ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีจุดเด่นทางวัฒนธรรมเมืองหนึ่ง และแน่นอนว่าอาหารที่ Limau Limau จะได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถัน ถ้าหากคุณอยากเปลี่ยนจากแกงกะหรี่ ข้าวมันไก่ก้อนกลม และแกงเผ็ดที่หาได้ทั่วไปในมะละกาแล้วละก็ ร้านกาแฟที่มี 2 ชั้นร้านนี้ก็มีช็อคโกแลตสมูทตี้ที่แสนอร่อย น้ำผลไม้คั้นสด น้ำผลไม้ปั่นผสมโยเกิร์ต กาแฟ Lavazza และอาหารอื่น ๆ ให้ได้ลิ้มลอง จะบอกให้ว่าแม้แต่มูสลี่ที่นี่ยังมีรสชาติไม่ธรรมดาเลย ร้าน Limau Limau ตั้งอยู่ห่างจาก Temple Street หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Harmony Street ซึ่งมีเกสต์เฮ้าส์เรียงรายอยู่เต็ม

Zheng He Tea House, Jalan Tukang Emas
ร้าน Zheng He Tea House เป็นร้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ตั้งอยู่บนถนนที่ดึงดูดใจที่สุดในเมืองมะละกาที่ไม่เคยหลับใหล มุมหนึ่งของร้านจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งมีจดหมายรักจารึกด้วยอักษรโบราณอยู่บนกรอบประตูด้านในและมีบ่อน้ำอยู่หลังบ้าน และเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งและรูปแบบสถาปัตยกรรม ร้านนี้ก็มีชารสเลิศเข้ากับบรรยากาศเป็นที่สุด เราแนะนำให้คุณคุยกับผู้จัดการร้านที่ชื่อ Pak หรือลูกสาวของเธอที่เชี่ยวชาญเรื่องชาและให้เธอแนะนำใบชาที่เหมาะกับรสนิยมหรือความต้องการด้านสุขภาพของคุณได้เลย

Geographer Cafe, Jalan Hang Jebat
เมื่อมามะละกาคุณไม่ควรพลาดร้าน Geographer Café นักท่องเที่ยวที่มุ่งหน้าไปในเมืองจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลหลายอย่างไม่ใช่เพียงเพราะว่าที่นี่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ร้าน Geographer Café มีมุมเก๋ ๆ ตรงหัวมุมถนนให้ลูกค้าได้มองเห็นผู้คนเดินไป-มาด้านนอกด้วย นอกจากนี้อาหารทั้งหมดที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตก มาเลเซีย หรือฟิวชั่นก็อร่อยอย่าบอกใครเลยเชียว สำหรับเครื่องดื่มซึ่งรวมถึงเบียร์ขาวและเบียร์ดำ ก็รสชาติเยี่ยมไม่น้อยหน้ากันเลย

สุดท้ายก็ต้องบอกว่าถ้าคุณบังเอิญไปในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ให้มองหาคนขายน้ำสับปะรดคั้นสดที่จะมาวนเวียนอยู่แถว ๆ เวทีประกวดร้องเพลงสาธารณะที่จัดขึ้นทุกสุดสัปดาห์ในย่านไชน่าทาวน์

<!–[if !mso]> <! st1\:*{behavior:url(#ieooui) } –>

มะละกา สวรรค์ของนักกิน

มะละกาจะทำให้ทุกประสาทสัมผัสของคุณเพลิดเพลิน แต่แม่เหล็กดึงดูดหลักที่คุณจะพบเห็นได้ตั้งแต่บริเวณท่าเรือเก่าสำหรับขนถ่ายเครื่องเทศตลอดเรื่อยไปตามถนนที่มาจากกัวลาลัมเปอร์ก็คืออาหาร มะละกามีชื่อเสียงในเรื่องอาหารอร่อย ราคาไม่แพงแถมมีคุณภาพดี

ร้านอาหาร 5 แห่งต่อไปนี้ล้วนสะท้อนถึงความร่ำรวยทางวัฒนธรรมของมะละกาที่ปรากฏอยู่รอบ ๆ หรืออยู่ในย่านไชน่าทาวน์ แต่ถ้าคุณจะไปร้านอาหารเหล่านี้เราอยากให้คุณเผื่อใจสำหรับการจราจรที่ติดขัดเอาไว้ด้วย

Sri Kaveri, Lorong Hang Jebat

ร้านนี้ตั้งชื่อตามแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย และถึงแม้ว่าจะไม่มีไกด์บุ๊คแนะนำแต่เราจะแนะนำเอง เพราะจ่ายเพียงแค่ไม่กี่ริงกิตคุณก็จะได้อาหารมาเต็มโต๊ะอย่างกับจัดงานเลี้ยงเพื่อถวายให้พระแม่คงคาอย่างไรอย่างนั้น อาหารก็จะเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารชุดที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน ส่วนที่ตั้งของร้าน Sri Kaveri นี้ก็อยู่ใกล้กับ the Honky Tonk Haven Café บนถนนที่ตัดผ่านแม่น้ำ ห่างออกไปจาก Jonker Walk ถ้าหาไม่เจอก็ให้มองหาประตูทางเข้าที่ตกแต่งด้วยพวงมาลัยสีสันสดใสก็แล้วกัน

Pak Putra Tandoori & Naan Restaurant, Jalan Laksmana 4

ไม่ว่าใครที่ได้มาชิมอาหารที่ร้าน Pak Putra ก็ต้องติดออกติดใจไปตามๆ กันเพราะมีบรรยากาศรื่นเริงเหมาะกับการพบปะสังสรรค์ในคืนที่อากาศแสนสบาย เมนูแนะนำก็คือ น้ำมะม่วงปั่นผสมโยเกิร์ต (lassi) ที่เข้มข้น และเนื้อสัตว์หลายชนิดรวมทั้งอาหารทะเลรสจัด ร้าน Pak Putra นี้อยู่ในซอยเล็ก ๆ ห่างออกมาจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม Jonker Walk ตามทางที่มุ่งหน้าไปทะเล


Limau Limau Cafe, Jonker Street

โคมระย้า เพลงละตินแจ๊ส และภาพถ่ายสุดอาร์ตทำให้ร้าน Limau Limau มีบรรยากาศเหมือนเมืองเมลเบิร์นของแดนจิงโจ้ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีจุดเด่นทางวัฒนธรรมเมืองหนึ่ง และแน่นอนว่าอาหารที่ Limau Limau จะได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถัน ถ้าหากคุณอยากเปลี่ยนจากแกงกะหรี่ ข้าวมันไก่ก้อนกลม และแกงเผ็ดที่หาได้ทั่วไปในมะละกาแล้วละก็ ร้านกาแฟที่มี 2 ชั้นร้านนี้ก็มีช็อคโกแลตสมูทตี้ที่แสนอร่อย น้ำผลไม้คั้นสด น้ำผลไม้ปั่นผสมโยเกิร์ต กาแฟ Lavazza และอาหารอื่น ๆ ให้ได้ลิ้มลอง จะบอกให้ว่าแม้แต่มูสลี่ที่นี่ยังมีรสชาติไม่ธรรมดาเลย ร้าน Limau Limau ตั้งอยู่ห่างจาก Temple Street หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Harmony Street ซึ่งมีเกสต์เฮ้าส์เรียงรายอยู่เต็ม


Zheng He Tea House, Jalan Tukang Emas

ร้าน Zheng He Tea House เป็นร้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ตั้งอยู่บนถนนที่ดึงดูดใจที่สุดในเมืองมะละกาที่ไม่เคยหลับใหล มุมหนึ่งของร้านจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งมีจดหมายรักจารึกด้วยอักษรโบราณอยู่บนกรอบประตูด้านในและมีบ่อน้ำอยู่หลังบ้าน และเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งและรูปแบบสถาปัตยกรรม ร้านนี้ก็มีชารสเลิศเข้ากับบรรยากาศเป็นที่สุด เราแนะนำให้คุณคุยกับผู้จัดการร้านที่ชื่อ Pak หรือลูกสาวของเธอที่เชี่ยวชาญเรื่องชาและให้เธอแนะนำใบชาที่เหมาะกับรสนิยมหรือความต้องการด้านสุขภาพของคุณได้เลย


Geographer Cafe, Jalan Hang Jebat

เมื่อมามะละกาคุณไม่ควรพลาดร้าน Geographer Café นักท่องเที่ยวที่มุ่งหน้าไปในเมืองจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลหลายอย่างไม่ใช่เพียงเพราะว่าที่นี่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ร้าน Geographer Café มีมุมเก๋ ๆ ตรงหัวมุมถนนให้ลูกค้าได้มองเห็นผู้คนเดินไป-มาด้านนอกด้วย นอกจากนี้อาหารทั้งหมดที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตก มาเลเซีย หรือฟิวชั่นก็อร่อยอย่าบอกใครเลยเชียว สำหรับเครื่องดื่มซึ่งรวมถึงเบียร์ขาวและเบียร์ดำ ก็รสชาติเยี่ยมไม่น้อยหน้ากันเลย

สุดท้ายก็ต้องบอกว่าถ้าคุณบังเอิญไปในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ให้มองหาคนขายน้ำสับปะรดคั้นสดที่จะมาวนเวียนอยู่แถว ๆ เวทีประกวดร้องเพลงสาธารณะที่จัดขึ้นทุกสุดสัปดาห์ในย่านไชน่าทาวน์

คลับน่าเที่ยวในมาเก๊า

มาเก๊าได้กลายเป็นลาสเวกัสแห่งเอเชียอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีคาสิโนใหญ่ๆ หลายแห่ง พร้อมด้วยแสงสียามราตรีที่น่าตื่นตาตื่นใจและโอกาสร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค (หรืออาจหมดตัว) แค่เพียงชั่ววงล้อหมุน มาเก๊ามีกิจกรรมยามค่ำคืนให้ทำมากมายหลายอย่าง และคาสิโนส่วนใหญ่จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนบาร์และไนท์คลับต่างก็มีสาวๆ โฮสเตส อยู่อย่างละลานตา แม้ว่าพวกเธอจะเอาใจคุณเพราะหวังเงินก็ตาม

แต่ถ้านี่ไม่ใช่แนวของคุณ เราก็ยังมีที่อื่นเป็นตัวเลือกให้อีก อย่างเช่นบาร์เจ๋งๆ ในเมืองที่ชื่อ The Bellini Lounge ซึ่งตั้งอยู่ภายใน เวเนเชี่ยน คาสิโน และดึงดูดนักท่องราตรีรสนิยมดีวัยประมาณ 20 – 40 ปี บาร์นี้มีบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเองเพื่อให้คุณได้นั่งปล่อยอารมณ์บนโซฟาตัวใหญ่ จิบเครื่องดื่มแรงๆ สักแก้วสองแก้วและเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงจากวงดนตรีสดที่เล่นเพลงจากชาร์ต Top 40 hits และเพลง R&B บาร์แห่งนี้เปิดให้บริการทุกคืน แต่คนจะแน่นช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งมองไปทางไหนก็จะเจริญหูเจริญตาเพราะคุณจะได้เห็นทั้งนางแบบ แดนเซอร์สาวสวย รวมถึงชาวต่างชาติที่มาทำงานอยู่ในมาเก๊าอีกจำนวนหนึ่งอีกด้วย

ไนท์คลับอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Fashion Club ซึ่งตั้งอยู่ที่ Fisherman’s Wharf ที่นี่เป็นทั้งไนท์คลับและคาราโอเกะบาร์ที่ดึงดูดคนที่ชอบปาร์ตี้จนดึกดื่นค่อนคืน จุดเด่นของที่นี่ก็คือโชว์การเต้นรำที่แสดงตอนเที่ยงคืน บรรดาสาวสวยจะมาโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างเร่าร้อนบนโต๊ะ  และขึ้นไปเต้นกับลูกค้าบนเวทีไปกับเสียงเพลงที่ดีเจเปิด (ซึ่งบางครั้งก็เป็นดีเจรับเชิญชาวต่างชาติ) เพลงที่เปิดนั้นจะเป็นเพลงแนว commercial dance และเพลงแนว house  ส่วนบนชั้นสองของที่นี่ได้จัดให้มีบูธกว้างขวางที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวห่างออกมาจากความอึกทึกครึกโครมของฟลอร์เต้นรำ เอาไว้ให้คุณได้ผ่อนคลายแบบชิลๆ

และที่สุดท้ายที่เราจะแนะนำคือ MP4 ซึ่งเป็นดิสโก้เธคที่ใหญ่ที่สุดในมาเก๊า โดยตั้งอยู่ในใจกลางเมืองภายในโรงแรม Royal Hotel มาเก๊า เปิดบริการวันพฤหัสบดีถึงวันอาทิตย์ตั้งแต่ 5 ทุ่มเป็นต้นไป ดิสโกเธค MP4 แห่งนี้ตกแต่งอย่างเก๋ไก๋และมีฟลอร์เต้นรำขนาดใหญ่รวมทั้งบริเวณที่มีโซฟา VIP ถึง 16 มุมอีกด้วย (ซึ่งเราแนะนำว่าให้จองไว้สักมุมหนึ่งล่วงหน้า) แนวเพลงที่เล่นในคลับ MP4 มักจะเป็นเพลงแนว commercial house และ R&B      อีกทั้งยังมีดีเจรวมทั้งนักแสดงรับเชิญต่างชาติมาสร้างสีสันให้บ่อยๆ อีกด้วย

ดินเนอร์หรูในมุมสูงที่ภัตตาคารหูท่ง ฮ่องกง

หนึ่งในจุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดของฮ่องกงก็คือความงดงามของเส้นขอบฟ้าที่ไกลสุดสายตา ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นได้ทันทีที่เครื่องบินของคุณร่อนลงจอดอย่างนุ่มนวล  ภาพของตึกระฟ้าที่มีภูเขาโอบล้อมอยู่ด้านหนึ่ง และอ่าววิคตอเรียอีกด้านหนึ่งก่อให้เกิดความงามจนสุดจะบรรยายขนาดที่เหล่านักกินทั้งหลายต่างพากันสงสัยว่า “ฉันจะดื่มด่ำกับความงามของวิวไปพร้อม ๆ กับการกินอาหารรสเลิศได้ยังไงกัน”

มีคำตอบทั้งอย่างถูกและอย่างแพง แต่เราจะพูดถึงเฉพาะอย่างหลังเท่านั้น  นั่นหมายถึงดินเนอร์หรูที่ภัตตาคารบนตึกสูงในฮ่องกงที่มีอยู่เต็มไปหมด  และเพื่อให้คุณได้พบกับวิวที่คุณต้องการจะชื่นชมจนหยดสุดท้าย เราขอแนะนำที่ที่เจ๋งที่สุดแห่งหนึ่งชื่อภัตตาคารหูท่งซึ่งตั้งอยู่ ณ เลขที่ 1 ถนนปักกิ่งในย่านจิมซาจุ่ย   จะบอกให้ว่าคุณจะประทับใจกับบรรยากาศสุดแสนคลาสสิก ไวน์ชั้นดี และวิวยามค่ำคืนมากกว่าอาหารเสียอีก (ถึงแม้ว่าคุณจะต้องจ่ายแพงเอาการอยู่)

ถ้าโชคดีหน่อยคุณอาจจะได้นั่งโต๊ะติดริมกระจกที่จะมองเห็นวิวที่แสนวิเศษของเกาะฮ่องกง ผืนน้ำและแสงไฟนีออนระยิบระยับที่อยู่ตามตึกรามบ้านช่อง  ที่หูท่งนี่เขาเปิดไฟสลัวเป็นที่สุดเพื่อขับเน้นให้วิวยามค่ำคืนโดดเด่นขึ้นมา ก็เลยทำให้อาหารทุกจานที่ยกมาเสิร์ฟนั้นดูไม่ออกว่าเป็นอะไร ยกเว้นเป็ดปักกิ่งที่เสิร์ฟมาทั้งตัวนั่นแหละ  เป็นใครก็คงไม่พลาดที่จะตักเจอเนื้อเป็ดตัวอ้วน ๆ ตัวนั้น  ส่วนอาหารจานอื่น ๆ ก็มีผักลวกซึ่งธรรมดามาก ๆ  อ้อ! แล้วก็ยังมีชาดอกบัวหรือตะไคร้อะไรสักอย่างที่รสชาติหวาน ๆ แต่ดื่มแล้วสดชื่นดีอีกด้วย

ส่วนการตกแต่งภายในก็ถือเป็นจุดขายหลักของภัตตาคารหูท่งเลยทีเดียว ที่นี่เน้นโทนสีเลือดหมูและประดับประดาด้วยไม้แกะสลักแลดูคลาสสิก  แถมคุณยังจะละลานตากับของเก่าหลายชิ้นที่ตั้งโชว์ไว้อีกด้วย ทั้งหมดที่ว่ามานี้อาจจะทำให้คุณนึกอยากจะตกแต่งที่พักของคุณใหม่ตามแบบ Chinoiserie นี้กันเลยละ และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้นั่งติดริมกระจกก็ไม่เป็นไร แต่ขอแนะนำว่าบริเวณที่ดีที่สุดก็คือมุมส่วนตัวซึ่งเหมาะมากสำหรับการดื่มสังสรรค์กับก๊วนเพื่อนสนิทของคุณ รับรองว่าคุณจะได้เพลิดเพลินกับดินเนอร์สุดหรูไปพร้อม ๆ กับจินตนาการสุดบรรเจิดอย่างเต็มที่เชียวละ

เว็บไซต์ร้าน: http://www.aqua.com.hk/#/?eng&hutong&concept

คลับน่าเที่ยวในสิงคโปร์

แม้สิงคโปร์จะไม่ใช่สถานที่ๆ มีแหล่งท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจสักเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยประเทศเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ก็ยังมีสิ่งที่เชิดหน้าชูตาอย่างสนามบินชางฮี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการบินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกเหนือจากนั้น ยังมีอาหารรสเด็ด เช่น ก๋วยเตี๋ยวสิงคโปร์และสิงคโปร์ สลิง (ค็อกเทล) รวมถึงมีแหล่งช็อปปิ้งและคลับชั้นยอดที่ไม่ควรพลาดการไปเยือน

คลับแห่งแรกที่เราขอแนะนำ คือ Zouk (17 Jiak Kim Street) ซึ่งเป็นคลับในตำนานของสิงคโปร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับนานาชาติและเปิดให้บริการมาเป็นเวลานานถึง 17 ปี คลับแห่งนี้ตกแต่งในสไตล์อินดัสเทรียลและภายในร้านได้รับการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยชั้นที่ 2 เป็นพื้นที่สำหรับสมาชิกเท่านั้น (ต้องแสดงบัตรสมาชิกถึงจะเข้าไปได้) ซึ่งหากคุณสามารถตีซี้กับนักเที่ยวท้องถิ่นได้ ก็อย่าลืมถือโอกาสแวะเวียนขึ้นไปสัมผัสกับบรรยากาศ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะยังมีดีเจชื่อดังคอยเปิดเพลงสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ชื่นชอบแดนซ์มิวสิค ถึงแม้การ์ดหน้าประตูจะไม่ค่อยเป็นมิตรและต้องรอคิวยาวเหยียดที่บาร์ แต่เครื่องดื่มที่นี่ก็นับไปได้ว่าแรงเอาเรื่อง แถมยังเปิดจนถึงดึกดื่นในช่วงสุดสัปดาห์

Zouk club

St James Power Station (3 Sentosa Gateway) คือ สถานบันเทิงขนาดยักษ์ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารที่เคยเป็นโรงไฟฟ้า โดยมีบาร์และดนตรีสดที่พร้อมจะตอบสนองรสนิยมของลูกค้าได้เกือบทุกระดับ เรียกได้ว่า หากคุณตั้งใจจะมาเที่ยวกลางคืนกันแบบจริงๆ จังๆ ล่ะก็ นี่คือตัวเลือกที่เหมาะสมสุดๆ เนื่องจากมีพื้นที่กว้างขวาง พร้อมด้วยเพดานสูง เทียบเท่าตึก 5 ชั้น อีกทั้งยังติดตั้งระบบแสงสีเสียงอันตระการตา

St. James Power Station

ปิดท้ายกันด้วยร้าน Zirca (The Cannery, Clarke Quay) ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นคลับน้องใหม่ในสิงคโปร์ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เป็นการจับเอาร้าน Ministry of Sound มาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ โดยเพิ่มองค์ประกอบของละครสัตว์และคาบาเร่ต์เข้าไป เสริมด้วยดีไซน์ภายในที่ดูเก๋ไก๋ทันสมัย ที่สำคัญ อัดแน่นไปด้วยความสนุกและเปิดให้บริการจนถึงช่วงดึก

ห้ามพลาดเมื่อไปเยือนปักกิ่ง

ไม่แน่ใจว่าคุณรู้หรือไม่ว่าประเทศจีนมีจำนวนประชากรล้นหลาม ไม่สิ ต้องเรียกว่ามหาศาลเลยล่ะ! กรุงปักกิ่งเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ เพียบพร้อมไปด้วยความทันสมัยและประวัติศาสตร์อันยาวนาน แถมยังมีอาหารอร่อยและมีหมอกหนาที่ช่วยสร้างบรรยากาศอันน่าหลงใหล

สถานที่ท่องเที่ยวในปักกิ่งนั้นมีมากมาย บางแห่งก็น่าประทับใจ บางแห่งก็ออกจะธรรมดาๆ แต่ไหนๆ มาถึงเมืองหลวงของแดนมังกรแล้วทั้งทีก็ต้องแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนกันให้ถ้วนทั่วสักหน่อย  เอาละ… ว่าแล้วก็ไปดูกันเลย

ข้ามๆ ไปเหอะ

สวนสัตว์ปักกิ่ง สวนสัตว์น่ะน่าเที่ยวและน่าสนใจแถมได้ความรู้ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเด็ก ๆ  แต่ก็เข้าใจเช่นกันว่าบางคนไม่ชอบ ยิ่งได้มาเห็นที่ปักกิ่งแล้ว ยิ่งเข้าใจใหญ่เลย เพราะผู้เข้าชมที่นี่เล่นปาขวดน้ำเข้าไปในกรงสิงโตเพื่อปลุกให้มันตื่น  ไม่เพียงแค่นั้น แพนด้าซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติของจีน ก็มีขนเป็นสีเหลือง ๆ ดูมอซอยังไงก็ไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้เลี่ยงไปเที่ยวที่อื่นจะดีกว่า

จัตุรัสเทียนอันเหมิน ก็แค่ลานสาธารณะกว้าง ๆ ลานหนึ่ง ไม่เห็นมีอะไร ไปหาหนังสือประวัติศาสตร์มาอ่านยังจะน่าสนใจกว่าอีก

ช้อปปิ้งที่ย่านหวางฝูจิ่ง ไม่ไหว ๆ ถ้าคุณอยากช้อปปิ้ง เราขอแนะนำให้คุณไปช้อปแถวประตูน้ำบ้านเรา ไม่ก็ฮ่องกง หรือที่อื่น ๆ ในแถบเอเชียแทนจะดีกว่า

ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้

กำแพงเมืองจีน และพระราชวังต้องห้าม ทั้งคู่คือสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมากที่สุด และถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนที่แสนจะน่าทึ่ง  แต่เตือนไว้ก่อนว่าทั้งสองแห่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คน (รวมถึงขวดน้ำพลาสติกที่เห็นอยู่กลาดเกลื่อนทั่วไปด้วย) และนี่แหละคือปัญหา กว่าจะฝ่าฝูงชนเข้าไปชมส่วนสำคัญ ๆ ของปราสาทได้ก็เหนื่อยแทบแย่

เดินเที่ยวย่านหูท่ง ที่นี่เป็นถนนเก่าแก่ของกรุงปักกิ่งซึ่งคุณจะได้พบเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านแถบนี้ แต่บอกตามตรงนะ มันก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น ไม่แย่มากนักแต่ก็ไม่ดึงดูดใจสักเท่าไร

ยังไงก็ห้ามพลาด

โชว์กายกรรม อย่าให้เฉินหลง (ในยุคปัจจุบัน) มาทำให้คุณรำคาญจนไม่ไปดูล่ะ  โชว์กายกรรมที่ปักกิ่งเป็นสุดยอดของความบันเทิง  ทั้งความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งของร่างกาย การทรงตัวและทักษะในการใช้มือของผู้แสดงล้วนน่าตื่นตะลึงจนคุณต้องอ้าปากค้างเลยละ แต่แย่หน่อยที่ป๊อบคอร์นรสชาติไม่ได้เรื่องเอาซะเลย

หอฟ้าเทียนถาน ที่นี่เป็นวนอุทยานขนาดยักษ์ในใจกลางกรุงปักกิ่งโดยมีวัดใหญ่ที่ประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง  นับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการหลีกหนีจากฝูงชนและในขณะเดียวกันก็ยังให้คุณได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมอันงดงามอีกด้วย

ไปชิมเป็ดปักกิ่ง เป็ดปักกิ่งที่นี่ต้องบอกว่ารสเด็ดมาก ใครที่เคยได้ยินเกี่ยวกับเป็ดปักกิ่งมานานแต่จินตนาการไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร ลองนึกภาพตามนะครับ เนื้อเป็ดชุ่มฉ่ำม้วนไว้ในแผ่นแป้ง  พร้อมด้วยเครื่องปรุงรสและผักให้รสชาติที่กลมกล่อม ขอแนะให้ลองไปชิมที่ภัตตาคารต้าต่งเพราะขึ้นชื่อในเรื่องนี้

ชิมของกินบนถนนหวางฝูจิ่ง ของกินที่นี่ถือเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่จะมาเยือนถนนหวางฝูจิ่งในตอนกลางคืน โดยมีทั้งเนื้อแกะ เนื้อไก่ เนื้องู และบรรดาเนื้อที่ไม่รู้ว่าเนื้ออะไรแต่ว่ามีรสชาติดีเสียบอยู่กับ  เหล็กย่างยาว ๆ  ให้ได้ลิ้มลอง รับรองว่าคุณจะได้เพลิดเพลินจนพุงกางอย่างแน่นอน

ในกรุงปักกิ่งมีโรงแรมหรู ๆ อยู่ไม่น้อย แต่ 2 แห่งที่เราอยากแนะนำ คือ The Grand Hotel ซึ่งมีบริการที่อบอุ่น และThe Millennium ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสรรพและมีสระว่ายน้ำรวมถึงห้องออกกำลังกายชั้นเลิศ